ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็ปไซต์นี้ น่ะครับ เว็บไซต์นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาคอมพิวเตอร์ โดยมี อาจารย์มูฮัมหมัด วานิ เป็นครูที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการสร้างเว็บบล็อกนี้

เลือกภาษา

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

News เก็บตกวิ่งเฉลิมพระเกียจ 5 ธันวา


หลังจากวิ่งเสร็จก็รัปประทานอาหารเช้ากัน


นักกีฬาที่ไปวิ่งด้วยกัน


นายรุสดี  มะโน กับภาพที่ชื่่อ กล้วยเหลืออีกไหม ? 


นายซัมรี  กาเดร์ แอ๊บมาก ทำเป็นเข้ม


นายมูฮัมหมัด  สมาแอ  กับภาพที่  ทำหน้า '' ง ง ๆ '' กันไป


แตงโม ๆ รีบ ๆ เข้าไกล้หมดแล้วนร้า กับคนที่เข้าเส้นชัยหลัง


นายศรันย์  เล๊าะเล๊ะ เอาเหรียญทองมาอวดกันหน่อย


นายศรันย์  เล๊าะเล๊ะ  นักกีฬาวิ่งมารทอน 5 กิโลเมตร






เอ้าาาาาา แบ่งกันๆ ขนมมีเยอะ กินให้อิ่มหล๊


เผลอ ๆ ภาพออกมาดูดีอีกด้วย


น้อง ม.4 ปีนี้ เค้าบอกว่าเหนื่อยมาก เลยกินข้าวต้มลูกเดียว


เศษที่เหลืออยู่


คำเดียวเต็ม ๆ


นายการียา  โดยหม๊ะ  กับข้าวต้มที่แสนจะอ๋าหร่อย


นายฟิกรี ไม่ทราบนามสกุล ถ้วยสุดท้ายของกินด้วยคน


นายอิบรอเหง  ไม่ทราบนามสกุล  ศิษย์เก่าแสงธรรมเองน่ะครับคนนี้

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คุณค่าของการละหมาดตะรอเวียะฮฺ

รายงานจากท่านนบี อาลี อิบนิ อบีตอเล็บ มีคนถาท่านนบีเกี่ยวกับความ ประเสริฐของการละหมาดตะรอเวียะห์ในเดือนรอมฎอน ท่านนบีได้กล่าวว่า
“ใครละหมาดในตะรอเวียะห์ในเดือนรอมฎอนเขาจะได้รับ ดังนี้

คืนแรก เขาจะได้รับการปลดโทษทั้งหมดของเขาเสมือนกับวันแรกที่เขาคลอดจากท้องมารดา

คืนที่สอง เขาและพ่อแม่ของเขาจะถูกอภัยโทษ

คืนที่สาม มลาอีกะห์จะประกาศใต้บังลังก์ของอัลเลาะห์ว่า“เขาทำอิบาดะห์ด้วยความ บริสุทธิ์ใจต่ออัลเลาะห์ ( ซ.บ. ) อัลเลาะห์ ( ซ.บ. ) จะอภัยโทษในสิ่งที่เขาได้ทำไว้ในอดีต”

คืนที่สี่ เขาจะได้รับผลตอบแทนเหมือนกับเขาได้อ่าน เตารอห์,อินยีล,ซะบูรและกุรอาน

คืนที่ห้า อัลเลาะห์จะให้ผลตอบแทนเหมือนกับผู้ที่ทำละหมาดในมัสยิดฮารอม, มัสยิดนบีและมัสยิดอัคซอ

คืนที่หก เขาจะได้รับผลตอบแทนเขาเหมือนกับผู้ที่ได้เวียนรอบ(ตอวาฟ)ใบตุ้ลมะมูร อีกทั้งหินและกรวด จะขออภัยโทษให้เขา

คืนที่เจ็ด เขาจะได้รับผลตอบแทนเสมือนกับเขาได้ช่วยนบีมูซาในการต่อต้านฟิรอูน

คืนที่แปด อัลเลาะห์จะให้ผลตอบแทนเขาเท่ากับที่พระองค์ให้นบีอิบรอฮีม

คืนที่เก้า เขาจะได้รับผลตอบแทนเสมือนกับการทำอิบาดะห์ของท่านนบีมูฮำหมัด(ซล.)

คืนที่สิบ เขาจะประสบโชคความดีงามทั้งดุนยาและอาคิเราะห์

คืนที่สิบหนึ่ง เขาจะจากโลกดุนยาไปโดยไม่มีโทษเสมือนเขาถูกคลอดใหม่ๆ

คืนที่สิบสอง เขาจะถูกบังเกิดในวันกิยามะห์โดยที่เขามีรัศมีที่หน้าเสมือนกับพระจันทร์วันเพ็ญ

คืนที่สิบสาม เขาจะได้รับความปลอดภัยในวันกิยามะห์

คืนที่สิบสี่ มลาอิกะห์จะเป็นพยานว่าเขาละหมาดตะรอเวียะห์ และจะไม่ถูกสอบสวนในวันกิยามะห์

คืนที่สิบห้า บรรดามมลาอิกะห์ที่แบกบัลลังก์ของอัลเลาะห์จะทรงขอพรให้เขา

คืนที่สิบหก อัลเลาะห์จะให้เขาปราศจากไฟนรกและได้รับสู้สรวงสวรรค์

คืนที่สิบเจ็ด เขาจะได้รับผลตอบแทนเท่าบรรดานบี

คืนที่สิบแปด มลาอิกะห์จะประกาศว่าอัลเลาะห์ทรงพอพระทัยเจ้าและพ่อแม่ของเจ้า

คืนที่สิบเก้า อัลเลาะห์จะยกระดับเขาให้ได้รับสวรรค์ชั้นบรมสุข

คืนที่ยี่สิบ เขาจะได้ผลตอบแทนเท่ากับคนที่ตายชะฮีดและคนซอและห์

คืนที่ยี่สิบหนึ่ง อัลเลาะห์จะสร้างบ้านที่ทำด้วยรัศมีให้เขาในสรวงสวรรค์

คืนที่ยี่สิบสอง เขาจะไม่ได้รับความกังวลใจและโศกเศร้าใจในวันกิยามะห์

คืนที่ยี่สิบสาม อัลเลาะห์จะสร้างเมืองให้กับเขาวยสวรรค์

คืนที่ยี่สิบสี่ เขาจะได้รับตอบการขอพรของเขา 24 ประการ

คืนที่ยี่สิบห้า เขาจะไม่ได้รับอะซาบ (การลงโทษ) ในกุโบร

คืนที่ยี่สิบหก อัลเลาะห์จะให้ผลตอบแทนเสมือนเขาทำอิบาดะห์ถึง 40 ปี

คืนที่ยี่สิบเจ็ด อัลเลาะห์จะให้เขาข้ามสะพานซิรอต้อลมุสตากีม อย่างรวดเร็วเสมือนสายฟ้าแลบ

คืนที่ยี่สิบแปด อัลเลาะห์จะให้ความประเสริฐเหนือคนอื่นๆพันเท่าในสรวงสวรรค์

คืนที่ยี่สิบเก้า อัลเลาะห์จะให้ผลตอบแทนเขา เท่ากับนักฮาดีษที่ท่องจำฮาดีษได้ 100,000 ฮาดีษหนึ่งพันคน

คืนที่สามสิบ อัลเลาะห์จะทรงตรัสกับเขาว่า บ่าวของเจ้า เจ้าจงกินผลไม้ในสรวงสวรรค์เถิด และจงชำระร่างกายเจ้า ด้วยน้ำจากสวรรค์ เจ้าจงดื่มน้ำจากบ่อเกาซัรและข้าคือผู้อภิบาลของเจ้าและเจ้าคือบ่าวของข้า

ที่มา ชมรมมุสลิมช่างกลปทุมวัน http://www.muslimpatumwan.seller.in.th/forum/viewtopic.php?f=2&t=63

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ประวัติกีฬาปิงปอง

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 ประวัติปิงปอง

ประวัติกีฬาปิงปอง

ประวัติกีฬาปิงปอง (ข้อมูลจากการกีฬาแห่งประเทศไทย)
เท่าที่มีหลักฐานบันทึกพอให้ค้นคว้า  ทำให้เราได้ทราบว่ากีฬาเทเบิลเทนนิสได้เริ่มขึ้นที่ประเทศอังกฤษ  ในปี ค.ศ.  1890  ในครั้งนั้น  อุปกรณ์ที่ใช้เล่นประกอบด้วย  ไม้  หนังสัตว์  ลักษณะคล้ายกับไม้เทนนิสในปัจจุบันนี้   หากแต่ว่าแทนที่จะขึงด้วยเส้นเอ็นก็ใช้แผ่นหนังสัตว์หุ้มไว้แทน  ลูกที่ใช้ตีเป็นลูกเซลลูลอยด์  เวลาตีกระทบถูกพื้นโต๊ะและไม้ก็เกิดเสียง “ปิก-ป๊อก”  ดังนั้น  กีฬานี้จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งตามเสียงทีได้ยินว่า  “ปิงปอง” (PINGPONG)  ต่อมาก็ได้มีการวิวัฒนาการขึ้นโดยไม้หนังสัตว์ได้ถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นไม้แทน  ซึ่งได้เล่นแพร่หลายในกลุ่มประเทศยุโรปก่อน 
    วิธีการเล่นในสมัยยุโรปตอนต้นนี้เป็นการเล่นแบบยัน (BLOCKING)  และแบบดันกด  (PUSHING)  ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นการเล่นแบบ  BLOCKING และ CROP  การเล่นถูกตัด  ซึ่งวิธีนี้เองเป็นวิธีการเล่นที่ส่วนใหญ่นิยมกันมากในยุโรป  และแพร่หลายมากในประเทศต่าง ๆ  ทั่วยุโรป  การจับไม้ก็มีการจับไม้อยู่  2  ลักษณะ  คือ  จับไม้แบบจับมือ  (SHAKEHAND)  ซึ่งเราเรียกกันว่า  “จับแบบยุโรป”  และการจับไม้แบบจับปากกา (PEN-HOLDER)  ซึ่งเราเรียกกันว่า “จับไม้แบบจีน”  นั่นเอง
    ในปี ค.ศ. 1900  เริ่มปรากฏว่า  มีไม้ปิงปองที่ติดยางเม็ดเข้ามาใช้เล่นกัน  ดังนั้นวิธีการเล่นแบบรุกหรือแบบบุกโจมตี (ATTRACK หรือ OFFENSIVE)  เริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น  และยุคนี้จึงเป็นยุคของนายวิตเตอร์  บาร์น่า (VICTOR BARNA)  อย่างแท้จริง  เป็นชาวฮังการีได้ตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกประเภททีม  รวม 7 ครั้ง  และประเภทชายเดี่ยว  5 ครั้ง  ในปี ค.ศ. 1929-1935  ยกเว้นปี  1931  ที่ได้ตำแหน่งรองเท่านั้น  ในยุคนี้อุปกรณ์การเล่น โดยเฉพาะไม้มีลักษณะคล้าย ๆ กับไม้ในปัจจุบันนี้ วิธีการเล่นก็เช่นเดียวกัน คือมีทั้งการรุก (ATTRACK)  และการรับ (DEFENDIVE)  ทั้งด้าน  FOREHAND  และ  BACKHAND  การ จับไม้ก็คงการจับแบบ  SHAKEHAND  เป็นหลัก  ดังนั้นเมื่อส่วนใหญ่จับไม้แบบยุโรป  แนวโน้มการจับไม้แบบ PENHOLDER  ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมีน้อยมากในยุโป  ในระยะนั้นถือว่ายุโรปเป็นศูนย์รวมของกีฬาปิงปองอย่างแท้จริง

      ในปี ค.ศ. 1922  ได้มีบริษัทค้าเครื่องกีฬา  ไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าว่า “PINGPONG” ด้วยเหตุนี้กีฬานี้จึงเป็นชื่อมาเป็น  “TABLE TENNIS”  ไม่สามารถใช้ชื่อที่เขาจดทะเบียนได้ประการหนึ่ง  และเพื่อไม่ใช่เป็นการโฆษณาสินค้าอีกประการหนึ่ง  และแล้วในปี ค.ศ. 1926  จึงได้มีการประชุมก่อตั้งสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (INTERNATIONAL TABLETENNIS FEDERATION : ITTF) ขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนธันวาคม  ค.ศ. 1926  ภายหลังจากการได้มีการปรึกษาหารือในขั้นต้นโดย  DR. GEORG LEHMANN  แห่งประเทศเยอรมัน  กรุงเบอร์ลิน  เดือนมกราคม  ค.ศ. 1926  ในปีนี้เองการแข่งขันเทเบิลเทนนิสแห่งโลกครั้งที่ 1  ก็ได้เริ่มขึ้น  พร้อมกับการก่อตั้งสหพันธ์ฯ  โดยมีนายอีวอร์  มองตากู  เป็นประธานคนแรก  ในช่วงปี ค.ศ. 1940  นี้  ยังมีการเล่นและจับไม้พอจำแนกออกเป็น  3  ลักษณะดังนี้
      1.  การจับไม้  เป็นการจับแบบจับมือ
      2.  ไม้ต้องติดยางเม็ด
      3.  วิธีการเล่นเป็นวิธีพื้นฐาน  คือ  การรับเป็นส่วนใหญ่  ยุคนี้ยังจัดได้ว่าเป็น  “ยุคของยุโรป” อีกเช่นเคย

      ในปี ค.ศ. 1950  จึงเริ่มเป็นยุคของญี่ปุ่นซึ่งแท้จริงมีลักษณะพิเศษประจำดังนี้คือ
      1.  การตบลูกแม่นยำและหนักหน่วง
      2.  การใช้จังหวะเต้นของปลายเท้า

      ในปี ค.ศ. 1952  ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมการแข่งขันเทเบิลเทนนิสโลกเป็นครั้งแรก  ที่กรุงบอมเบย์  ประเทศอินเดีย  และต่อมาปี ค.ศ. 1953  สาธารณรัฐประชาชนจีน  จึงได้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกที่กรุงบูคาเรสต์  ประเทศรูมาเนีย  จึงนับได้ว่ากีฬาปิงปองเป็นกีฬาระดับโลกที่แท้จริงปีนี้นั่นเอง

      ในยุคนี้ญี่ปุ่นใช้การจับไม้แบบจับปากกา  ใช้วิธีการเล่นแบบรุกโจมตีอย่างหนักหน่วงและรุนแรง  โดยอาศัยอุปกรณ์เข้าช่วย  เป็นยางเม็ดสอดไส้ด้วยฟองน้ำเพิ่มเติมจากยางชนิดเม็ดเดิมที่ใช้กันทั่วโลก
     
      การเล่นรุกของยุโรปใช้ความแม่นยำและช่วงตีวงสวิงสั้น ๆ เท่านั้น  ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้บ่า  ข้อศอก  และข้อมือเท่านั้น  ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นซึ่งใช้ปลายเท้าเป็นศูนย์กลางของการตีลูกแบบรุกเป็นการเล่นแบบ “รุกอย่างต่อเนื่อง”  ซึ่งวิธีนี้สามารถเอาชนะวิธีการเล่นของยุโรปได้  การเล่นโจมตีแบบนี้เป็นที่เกรงกลัวของชาวยุโรปมาก  เปรียบเสมือนการโจมตีแบบ “KAMIKAZE” (การบินโจมตีของฝูงบินหน่วยกล้าตายของญี่ปุ่น)  ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญในญี่ปุ่นกันว่า  การเล่นแบบนี้เป็นการเล่นที่เสี่ยงและกล้าเกินไปจนดูแล้วรู้สึกว่าขาดความรอบคอบอยู่มาก  แต่ญี่ปุ่นก็เล่นวิธีนี้ได้ดี  โดยอาศัยความสุขุมและ Foot work  ที่คล่องแคล่วจนสามารถครองตำแหน่งชนะเลิศถึง  7  ครั้ง  โดยมี  5  ครั้งติดต่อกัน  ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953-1959

      สำหรับในยุโรปนั้นยังจับไม้แบบ SHAKEHAND และรับอยู่ จึงกล่าวได้ว่าในช่วงแรก ๆ ของปี ค.ศ. 1960 ยังคงเป็นจุดมืดของนักกีฬายุโรปอยู่นั่นเอง

      ในปี ค.ศ. 1960  เริ่มเป็นยุคของจีน  ซึ่งสามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้โดยวิธีการเล่นที่โจมตีแบบรวดเร็ว  ผสมผสานกับการป้องกัน  ในปี  1961  ได้จัดการแข่งขันเทเบิลเทนนิสชิงชนะเลิศ  ครั้งที่  26  ที่กรุงปักกิ่ง  ประเทศจีน  จีนเอาชนะญี่ปุ่น ทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นยังใช้นักกีฬาที่อายุมาก  ส่วนจีนได้ใช้นักกีฬาที่หนุ่มสามารถเล่นได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าทั้งรุกและรับ การจับไม้ก็เป็นการจับแบบปากกา  โดยจีนชนะทั้งประเภทเดี่ยวและทีม  3  ครั้งติดต่อกัน  ทั้งนี้เพราะจีนได้ทุ่มเทกับการศึกษาการเล่นของญี่ปุ่นทั้งภาพยนตร์ที่ได้บันทึกไว้และเอกสารต่าง ๆ  โดยประยุกต์การเล่นของญี่ปุ่น  เข้ากับการเล่นแบบสั้น ๆ แบบที่จีนถนัดกลายเป็นวิธีการเล่นที่กลมกลืนของจีนดังที่เราเห็นในปัจจุบัน

      ยุโรปเริ่มฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง  โดยนำวิธีการเล่นของชาวอินเดียมาปรับปรุง  นำโดยนักกีฬาชาวสวีเดนและประเทศอื่น ๆ  ซึ่งมีหัวก้าวหน้าไม่มัวแต่แต่คิดจะรักษาหน้าของตัวเองว่าไม่เรียนแบบของชาติอื่นๆ ดังนั้นชายยุโรปจึงเริ่มชนะชายคู่  ในปี  1967  และ  1969  ซึ่งเป็นนักกีฬาจากสวีเดน  ในช่วงนั้นการเล่นแบบรุกยังไม่เป็นที่แพร่หลายทั้งนี้เพราะวิธีการเล่นแบบรับได้ฝังรากในยุโรป  จนมีการพูดกันว่านักกีฬายุโรปจะเรียนแบบการเล่นลูกยาวแบบญี่ปุ่นนั้นคงจะไม่มีทางสำเร็จแต่การที่นักกีฬาของสวีเดนได้เปลี่ยนวิธีการเล่นแบบญี่ปุ่นได้มีผลสะท้อนต่อการเปลี่ยนแปลงของเยาวชนรุ่นหลังของยุโรปเป็นอย่างมาก  และแล้วในปี  1970  จึงเป็นปีของการประจันหน้าระหว่างผู้เล่นชาวยุโรปและผู้เล่นชาวเอเชีย

      ช่วงระยะเวลาได้ผ่านไปประมาณ  10  ปี  ตั้งแต่  1960-1970   นักกีฬาของญี่ปุ่นได้แก่ตัวลงในขณะที่นักกีฬารุ่นใหม่ของยุโรปได้เริ่มฉายแสงเก่งขึ้น  และสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศชายเดี่ยวของโลกไปครองได้สำเร็จในการแข่งขันเทเบิลเทนนิสเพื่อความชนะเลิศแห่งโลก  ครั้งที่  31  ณ กรุงนาโกน่า  ในปี  1971  โดยนักเทเบิลเทนนิส  ชาวสวีเดน  ชื่อ  สเตลัง  เบนค์สัน  เป็นผู้เปิดศักราชให้กับชาวยุโรป  ภายหลังจากที่นักกีฬาชาวยุโรปได้ตกอับไปถึง  18  ปี  ในปี 1973  ทีมสวีเดนก็ได้คว้าแชมป์โลกได้จึงทำให้ชาวยุโรปมีความมั่นใจในวิธีการเล่นที่ตนได้ลอกเลียนแบบและปรังปรุงมา  ดังนั้นนักกีฬาของยุโรปและนักกีฬาของเอเชียจึงเป็นคู่แข่งที่สำคัญในขณะที่นักกีฬาในกลุ่มชาติอาหรับและลาตินอเมริกา  ก็เริ่มแรงขึ้นก้าวหน้ารวดเร็วขึ้น  เริ่มมีการให้ความร่วมมือช่วยเหลือทางด้านเทคนิคซึ่งกันและกัน การเล่นแบบตั้งรับซึ่งหมดยุคไปแล้วตั้งแต่ปี  1960  เริ่มจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้นมาอีก  โดยการใช้ความชำนาญในการเปลี่ยนหน้าไม้ในขณะเล่นลูก  หน้าไม้ซึ่งติดด้วยยางปิงปอง  ซึ่งมีความยาวของเม็ดยางยาวกว่าปกติ  การใช้ยาง  ANTI – SPIN เพื่อพยายามเปลี่ยนวิถีการหมุนและทิศทางของลูกเข้าช่วย ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้นี้มีส่วนช่วยอย่างมาก ในขณะนี้กีฬาเทเบิลเทนนิสนับว่าเป็นกีฬาที่แพร่หลายไปทั่วโลก มีวิธีการเล่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งผู้เล่นเยาวชนต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนากีฬาเทเบิลเทนนิสต่อไปในอนาคตได้อย่างไม่มีที่วันสิ้นสุด และขณะนี้กีฬานี้ก็ได้เป็นกีฬาประเภทหนึ่งในกีฬาโอลิมปิก โดยเริ่มมีการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกในปี 1988 ที่กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีเป็นครั้งแรก


วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หลัก ๘ ประการของการดูแลรักษาสุขภาพ

๑. รับประทานอาหาร  อย่างถูกต้องเหมาะสม
           อาหารเช้า
                   สำคัญมากเพราะช่วงเช้าร่างกายขาดน้ำตาล ถ้าไม่รับประทานอาหารเช้าจะเกิดภาวะขาดน้ำตาลซึ่งจะมี
    ผลทำให้ความคิดตื้อตันไม่ปลอดโปร่ง วิตกกังวล ใจสั่น อ่อนเพลีย หงุดหงิด โมโหง่าย มื้อเช้ารับประทานได้เช้า
    ที่สุดยิ่งดี (ระหว่างเวลา ๖.๐๐ – ๗.๐๐ น.) เพราะท้องว่างมานาน หากยังไม่มีอาหารให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำข้าวอุ่น ๆ
    ก่อน ควรทานข้าวต้มร้อน ๆ จะช่วยให้ง่ายต่อการขับถ่ายอุจจาระ ถ้าจำเป็นต้องรับประทาน(สาย) ใกล้อาหารมื้อ
    กลางวัน อย่ารับประทานมาก
          อาหารเพล (อาหารมื้อกลางวัน)
                   ควรเป็นอาหารหนัก เช่น ข้าวสวย พร้อมกับข้าวครบ ๕ หมู่ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานมาก และควร
    รับประทานให้เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย


    ๒. ขับถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ สม่ำเสมอทุกวัน
    ๓. ใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม กับฤดูกาล เช่น หน้าหนาวก็ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ สวมหมวก ถุงมือ ถุงเท้า
         ขณะนอนตอนกลางคืนควรห่มผ้าปิดถึงอก
    ๔. ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายกลางแจ้งทุกวัน
    ๕. รักษาความสะอาดของสถานที่พักอาศัย เพื่อช่วยให้สิ่งแวดล้อมดี อากาศดี
    ๖. รักษาอารมณ์ให้ปลอดโปร่ง แจ่มใสตลอดทั้งวัน และอย่าลืมนั่งสมาธิทุกวัน
    ๗. พักผ่อนให้เพียงพอ เหมาะสมกับเพศ และวัยไม่ควรนอนดึกเกิน ๒๒.๐๐ น. ติดต่อกันหลายวัน
    ๘. มีท่าทาง และอิริยาบถที่ถูกต้องเหมาะสม ในการทำงานในชีวิตประจำวัน


5 วิธีใช้อินเตอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์และถูกวิธี


5 วิธีใช้อินเตอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์และถูกวิธี



ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคอินเทอร์เน็ต พวกเราได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากมัน เช่น ได้เล่นเกมออนไลน์ , ได้ chat กับคนแปลกหน้า , ได้ดูรูปโป๊แบบไม่จำกัด ,ได้หาแฟนใหม่ทางเน็ตวันละ 10 คน ฯลฯ

แต่มีผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านเตือนว่า การหมกมุ่นอยู่กับเน็ต ระวังอันตรายร้อยแปด ทั้งเสียการเรียน ทั้งเสียคน บางทีอาจจะถึงกับได้พบอันตรายที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย ที่จริง ก็น่าเห็นใจน้อง ๆ นะ ... เพราะเรียนหนังสือเครียดจะตายไป เลิกเรียนแล้ว ก็น่าจะได้มีโอกาสผ่อนคลายความเครียดกันบ้าง คนจะหาความสุขจากเน็ตสักหน่อย ยังมาห้ามอีก อะไรทำนองนั้น

ทีนี้ตามหลักพุทธศาสนาท่านว่า ความสุขมีสองแบบ คือ แบบ เสพบริโภค (กามฉันทะ ) กับ แบบสร้างสรรค์ (ธรรมฉันทะ ) ความสุขแบบเสพบริโภคนั้น เป็นความสุขมีคุณน้อย มีโทษมาก ทำให้หลงเพลิดเพลินไม่เป็นอันทำการงาน มีแนวโน้มทำให้เกิดความรุนแรง เบียดเบียนกัน ร้อนรน กระวน กระวาย ไม่คุ้มค่ากับความสุขเพียงนิด ที่ต้องแลกกับความทุกข์ที่ตามมาเป็นพรวน ๆ

อย่ากระนั้นเลย budpage ขอลองเสนอวิธีหาความสุขอย่างสร้างสรรค์ (ธรรมฉันทะ) จากเน็ตสัก 5 วิธี มาแนะนำกัน แบบว่าให้ได้ทั้งสนุก และ ได้รับสาระไปด้วย ดังต่อไปนี้
1."ชื่นชมความงามธรรมชาติบนเน็ต"




เปิดเวบค้นหาภาพธรรมชาติ จำพวก ต้นไม้ ภูเขา วิวสวย ๆ ดวงจันทร์ หรือ ดอกไม้ ฯลฯ พอได้พบภาพที่ถูกใจ ให้คุณมองภาพนั้นด้วยความชื่นชมพร้อมทั้งกล่าวพรรณาความงามออกมา อาจจะเป็นคำพูดดี ๆ หรือ แต่งเป็นกลอน หรือแต่งเป็นเพลง ก็ได้ หากคุณลองทำดูแล้วคุณรู้สึกว่าจิตใจของคุณมีความแช่มชื่นเบิกบาน จนอยากออกไปพบเห็นธรรมชาติจริง ๆ ข้างนอก ละก้อ...แสดงว่าคุณได้ เข้าถึงความงามของธรรมชาติบ้างแล้ว
2. "พรรณาความงามของงานศิลปะ"


อันนี้ก็คล้าย ๆ กัน ให้ search ค้นหาภาพงานศิลปะต่างๆ ที่มีอยู่มากมายในอินเทอร์เน็ต คัดเลือกภาพที่ถูกใจสักภาพ แล้วให้คุณ พรรณาความงามของงานศิลปะชิ้นนั้น โดยสมมุติตัวเองว่าเป็นศิลปินกำลังบรรยาย ให้ผู้ชมฟัง พรรณาเข้าไปเถอะ หรือจะใช้วิธีพิมพ์บรรยายลงในคอมพ์ก็ได้ ทำอย่างนี้สักประเดี๋ยวจิตใจของคุณก็จะเกิดความปีติสุข เพราะได้เข้าถึงความงามของศิลปะ

3.มีความสุขกับการเป็น"พหูสูต "

"พหูสูต" แปลง่าย ๆ ว่า"ผู้รอบรู้" คือ ไม่ว่าจะพบเห็นอะไร ก็จะมองเห็นเป็นความรู้ไปหมด สามารถ อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง




นิสัย"พหูสูต" นี่สามารถสร้างขึ้นมาได้ หากฝึกฝนเป็นประจำ ยิ่งสมัยนี้มีอินเทอร์เน็ตยิ่งง่ายใหญ่ วิธีง่าย ๆ เริ่มต้นด้วย ทุก ๆ วัน ก่อนจะเปิดเน็ตให้ลองเหลียวมองสิ่งต่างๆ รอบตัวคุณ แล้วตั้งคำถามกับตัวเอง "วันนี้เราอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับอะไร" เมื่อเราได้พบสิ่งที่น่าสนใจแล้ว ก็ให้ค้นในอินเทอร์เน็ตว่าเราได้รับความรู้อะไรจากสิ่งนั้นบ้าง
ยกตัวอย่าง

เหลียวไปเหลียวมารอบ ๆ ตัว ก็พบว่าวันนี้ เราอยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ "ปากกาลูกลื่น"ที่วางอยู่บนโต๊ะ เราก็พิมพ์ คำว่า"ปากกาลูกลื่น" หรือ ball-point pen ลงในเวบไซต์ประเภท search engine ( เช่น google.com ,siamguru.com ฯลฯ) จากนั้นก็ให้คัดเลือกหาอ่านเรื่องราวที่มีความรู้เกี่ยวกับ"ปากกาลูกลื่น" เก็บเกี่ยวสาระให้ได้มากที่สุด จนเราสามารถคุยเรื่องปากกาลูกลื่นได้เป็นชั่วโมง ๆ (แววพหูสูตเริ่มปรากฏ) วันต่อ ๆ มาก็ให้มองหาสิ่งอื่น รอบๆ ตัวเพื่อค้นหาความรู้อีก ลองตั้งเป้าไว้เลยว่า จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งของที่มีอยู่ในบ้านให้หมดทุกอย่าง หากใครทำได้ ถือว่าได้เป็นผู้รอบรู้คนหนึ่งในบ้านเลยทีเดียว

4. สารานุกรมภาพ

มาสะสม"ภาพความรู้"กันดีกว่า (รับรอง สนุกว่าสะสมรูปโป๊ ) กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ท้าทายมาก เพราะมีคนฉลาดๆเท่านั้นเองที่สามารถทำได้ วิธีการง่าย ๆ ก็คือให้ท่องเว็บไปเรื่อย ๆ ทีนี้เกิดไปเจอภาพอะไรที่เขามีคำอธิบายเกี่ยวกับภาพนั้น ๆ เราก็ลองอ่านดู ถ้าเรื่องราวน่าสนใจ อ่านแล้วเราเข้าใจ ประทับใจ ก็ให้ save ภาพนั้นเก็บไว้ในอัลบั้มภาพในเครื่องคอมพ์ของตนเอง ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเรามีคลังภาพแห่งความรู้เก็บไว้มากมาย ( ทุกภาพก่อน save เราจะต้องอ่านเนื้อหาคำอธิบายจนเข้าใจภาพนั้นได้ดีก่อน ไม่ใช่ เก็บแต่ภาพแต่ไม่ยอมเก็บความรู้)

ยกตัวอย่าง




เปิดเวบไปเห็นภาพ"เหตุการณ์ 14 ตุลา" เราก็อ่านเรื่องราวบรรยายภาพนั้นจนเข้าใจ ว่าได้เกิดอะไรขึ้นในปี พ.ศ. 2516 จากนั้นให้save ภาพนั้นเก็บเอาไว้ หรือ ไปพบภาพ "super nova" (ดาวระเบิด) เราก็อ่านจนเข้าใจเนื้อหาสาระของภาพ แล้วก็เก็บภาพไว้




ทีนี้เวลาได้ภาพเก็บไว้ในอัลบั้มมากพอเพียงแล้ว เวลาว่าง ๆ ให้คุณลองจัดแสดงภาพแบบสไลด์โชว์ บรรยายให้เพื่อนฝูงฟัง รับรองว่าคุณจะกลายเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ สามารถให้ความรู้และความสนุกสนานกับเพื่อน ๆ จนบรรดาเพื่อน ๆ จะต้องทึ่งในตัวคุณเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

5. "เก็บคำคม"

ในเว็บบอร์ดบนอินเทอร์เน็ตมีคำคม ๆ สำนวนดี ๆ มากมาย อ่าน ๆ แล้ว ให้เลือกสรรคำที่โดนใจ เอามาสะสมไว้ในไดอารี่ของเรา จะได้เก็บไว้อ่านประเทืองปัญญา จริงอยู่ในเว็บบอร์ดส่วนใหญ่อาจจะมีคำพูดที่ไม่เหมาะสมมากมาย เช่น คำหยาบ คำส่อเสียด ด่าว่า กระทบกระเทียบ แต่ในคำพูดเหล่านี้บางครั้งก็มีสาระสอดแทรกอยู่ เราสามารถเลือกสรรสิ่งที่ดีๆ คือ เลือกเฟ้นสิ่งที่ เป็นเนื้อหาสาระออกมา ( คุ้ยหาเพชรจากกองขยะ ) คุณทราบหรือไม่ว่าคำพูดของคนบางคน (แม้แต่คำพูดของคนที่สติไม่ดี ) บางครั้งจะให้แง่คิดดี ๆ ที่ช่วยปรับปรุงชีวิตของเราให้พัฒนาขึ้นมาได้ ลองดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าการสะสมข้อความดี ๆ มีสาระ มีความสนุกสนาน และมีคุณค่า ไม่น้อยกว่าการสะสมพระเครื่อง หรือ ตุ๊กตาโมเดลราคาแพง ๆ เสียอีก

ลิขสิทธิ

ลิขสิทธิ์ คืออะไร 

ลิขสิทธิ์ หมายถึง สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น
โดยการแสดงออกตามประเภทงานลิขสิทธิ์ต่าง ๆ

ลิขสิทธิ์ เป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา ความรู้ ความสามารถและความวิริยะอุตสาหะ
ในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น ทรัพย์สินทางปัญญา ประเภทหนึ่งที่มีคุณค่า
ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น เจ้าของผลงานทางลิขสิทธิ์จึงควรได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
ลิขสิทธิ์ เป็นทรัพย์สินประเภทที่สามารถ ซื้อ ขาย หรือโอนสิทธิกันได้ ทั้งทางมรดก หรือโดยวิธีอื่น ๆ การโอนสิทธิ์ควรที่จะทำเป็นลายลักษณ์อักษร หรือทำเป็นสัญญาให้ชัดเจน จะโอนสิทธิทั้งหมด
หรือเพียงบางส่วนก็ได้

งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์

งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์ ประกอบด้วยประเภทงานต่าง ๆ ดังนี้
•  งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
•  งานนาฎกรรม เช่น งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่าหรือ การแสดงที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว การแสดงโดยวิธีใบ้
•  งานศิลปกรรม เช่น งานทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สถาปัตยกรรมถ่ายภาพ ภาพประกอบแผนที่ โครงสร้าง ศิลปะประยุกต์ และรวมทั้งภาพถ่ายและแผนผังของงานดังกล่าวด้วย
•  งานดนตรีกรรม เช่น ทำนองและเนื้อร้องหรือทำนองอย่างเดียว และรวมถึงโน๊ตเพลงที่ได้แยกและ
เรียบเรียงเสียงประสานแล้ว
•  งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วีดีโอเทป แผ่นเลเซอร์ดิสก์ เป็นต้น
•  งานภาพยนตร์
•  งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นคอมแพ็คดิสก์ เป็นต้น
•  งานแพร่เสียงภาพ เช่น การนำออกเผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์
•  งานอื่นใดอันเป็นงานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ

ผลงานที่ไม่ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์

ผลงานดังต่อไปนี้เป็นผลงานที่ไม่ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์
•  ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริง ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
•  รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
•  ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
•  คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
•  คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตามข้อ 3.1 – 3.4 ที่กระทรวงทบวง กรมหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ
หรือของท้องถิ่นจัดทำขึ้น

การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์

สิทธิ์ในลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นโดยทันทีนับตั้งแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผลงานโดยไม่ต้องจดทะเบียน ดังนั้น เจ้าของลิขสิทธิ์จึงควรที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิของตนเอง โดยการเก็บรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้ทำการสร้างสรรค์ผลงานนั้นขึ้น เพื่อประโยชน์ในการพิสูจน์สิทธิ หรือความเป็นเจ้าของในโอกาสต่อไป

ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์

เจ้าของลิขสิทธิ์นอกจากจะเป็นผู้สร้างสรรค์งานแล้ว บุคคลอื่นอาจจะมีลิขสิทธิ์ในงานที่สร้างสรรค์นั้นก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ เช่น การสร้างสรรค์งานร่วมกัน การว่าจ้างให้สร้าง
สรรค์งาน การโอนสิทธิ์ในลิขสิทธิ์ เป็นต้น ดังนั้น ผู้ที่มีลิขสิทธิ์จะเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลต่อไปนี้
•  ผู้สร้างสรรค์งานขึ้นใหม่ที่สร้างสรรค์งานด้วยตนเองเพียงผู้เดียวหรือผู้สร้างสรรค์งานร่วมกัน
•  ผู้สร้างสรรค์ในฐานะพนักงานหรือลูกจ้าง
•  ผู้ว่าจ้าง
•  ผู้รวบรวมหรือประกอบกันเข้า
•  กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
•  ผู้รับโอนลิขสิทธิ์
•  ผู้สร้างสรรค์ที่เป็นชนชาติภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญากรุงเบอร์นและประเทศในภาค
สมาชิกองค์การการค้าโลก
•  ผู้พิมพ์โฆษณางานที่ใช้นามแฝงหรือนามปากกาที่ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์
การคุ้มครองลิขสิทธิ์
เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ ต่องานอันมีลิขสิทธิ์ของตนดังนี้
•  ทำซ้ำ หรือดัดแปลง
•  การเผยแพร่ต่อสาธารณชน
•  ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางาน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง
•  ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
•  อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ์ในการเช่าซื้อ ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน และให้เช่าต้นฉบับ

อายุการคุ้มครอง

โดยทั่ว ๆ ไป การคุ้มครองลิขสิทธิ์ จะมีผลเกิดขึ้นโดยทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงาน โดยความคุ้มครองนี้
จะมีตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และจะคุ้มครองต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต หากแต่มีงานบาง
ประเภทจะมีอายุการคุ้มครองแตกต่างกัน ดังนั้น อายุการคุ้มครองสามารถแยกได้ โดยสรุปดังนี้
•  ในงานทั่วไป ลิขสิทธิ์จะมีอยู่ตลอดอายุผู้สร้างสรรค์ และจะมีต่อไปอีก 50 ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความ
ตาย กรณีที่เป็นผู้สร้างสรรค์ร่วมให้นับจากผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย กรณีที่เป็นนิติบุคคล 
ลิขสิทธิ์จะมีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น กรณี ที่ผู้สร้างสรรค์ใช้นามแฝง หรือไม่ปรากฏชื่อ
ผู้สร้างสรรค์ ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
•  งานถ่ายภาพ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ลิขสิทธิ์มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค
นั้นขึ้น
•  งานที่สร้างสรรค์โดยการจ้างหรือตามคำสั่ง ให้มีอายุ 50 ปี นับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
•  งานศิลปะประยุกต์ ลิขสิทธิ์มีอายุ 25 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้นกรณีที่ได้มีการโฆษณางานเหล่านั้นใน
ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวให้ลิขสิทธิ์มีอยู่ต่อไปอีก 50 ปี นับแต่โฆษณาครั้งแรก ยกเว้นในกรณีงานศิลปประยุกต์
ให้ลิขสิทธิ์มีอยู่ต่อไปอีก 25 ปี นับแต่โฆษณาครั้งแรก
ประโยชน์ของลิขสิทธิ์

•  ประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์

เจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์และมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น หรือผลงานตามข้อใดข้อหนึ่งตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นเจ้าของ
ลิขสิทธ์ิ์จะมีสิทธิในการทำซ้ำดัดแปลง จำหน่าย ให้เช่า คัดลอก เลียนแบบ ทำสำเนา การทำให้ปรากฏต่อ
สาธารณชน หรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้ลิขสิทธิ์ของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ โดยเจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมได้
รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม

•  ประโยชน์ของประชาชนหรือผู้บริโภค

การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิในผลงานลิขสิทธิ์มีผลให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่จะสร้างสรรค์ผลงาน
ที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางวรรณกรรมและศิลปกรรมออกสู่ตลาด ส่งผลให้ผู้บริโภคจะได้รับความรู้ ความบันเทิง และได้ใช้ผลงานที่มีคุณภาพ

การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์

       ลิขสิทธิ์ เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงานโดยไม่ต้องจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ดำริให้มีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลและรวบรวมข้อมูล
เบื้องต้น เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ในการพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์ นอกจากนี้แล้วยังเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ต้องการขออนุญาตใช้ ลิขสิทธิ์สามารถตรวจค้นเพื่อประโยชน์
ในการติดต่อธุรกิจกับเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย
        การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้แจ้งได้รับสิทธิในผลงานนั้น หรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้นการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์จะไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ เพิ่มขึ้นจากสิทธิที่มีอยู่เดิมของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริง

เอกสารและหลักฐานประกอบการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์

•  แบบพิมพ์คำขอแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ จำนวน 2 ชุด ซึ่งผู้แจ้งจะต้องกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เช่น ประเภทของงาน ชื่อผู้แจ้ง ชื่อผู้สร้างสรรค์ สถานที่ติดต่อ ลักษณะของงาน วิธีการสร้างสรรค์ เป็นต้น
•  หลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หนังสือรับรองนิติบุคคล หนังสือมอบอำนาจ ( ถ้ามี ) เป็นต้น
•  ผลงานลิขสิทธิ์ที่สร้างสรรค์ จำนวน 1 ชุด